ปัญหาสุขภาพที่ทารกเบบี๋พบบ่อย
ปัญหาสุขภาพของเด็กๆ ที่พบบ่อยในช่วง 3 เดือนแรกของชีวิต
มักเป็นปัญหาจากการปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม
จากในท้องแม่มาสู่โลกภายนอก รวมไปถึงความสามารถในการปรับตัวของคุณพ่อคุณแม่ต่อการเลี้ยงดูลูกๆ
โดยเฉพาะในลูกคนแรก
ความเป็นจริงแล้ว ปัญหาต่างๆ
ของเด็กในช่วงนี้มักหายไปได้เองเมื่อโตขึ้น
และเมื่อร่างกายของเขาสามารถปรับตัวให้เข้ากับโลกภายนอกได้
ความเข้าใจภาวะดังกล่าวจะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่คลายความกังวล
และรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างเหมาะสม ไม่ตื่นตระหนกเกินควร
แต่ยังสามารถเฝ้าระวังภาวะอันตรายซึ่งอาจเกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ยังช่วยให้ช่วยสังเกตได้ว่า
อาการแสดงลักษณะใดควรพาลูกไปพบคุณหมอ เพื่อให้การวินิจฉัยและช่วยเหลือเป้นไปอย่างถูกต้องและเหมาะสมต่อไป
ดังนั้น
ก่อนอื่นขึ้นพ่อแม่มือใหม่จึงควรรู้และเข้าใจก่อนว่า
ปัญหาสุขภาพของลูกเบบี๋ที่พบบ่อยมีอะไรบ้าง เพื่อที่จะได้รับมือต่อไปได้
1. ภาวะตัวเหลืองในทารกแรกเกิด
ทารกแรกเกิดช่วงเดือนแรกของชีวิตจำนวนหนึ่งมีโอกาสตัวเหลืองตาเหลืองได้จากหลายสาเหตุด้วยกัน
ส่วนใหญ่เกิดจากภาวะการแตกตัวของเม็ดเลือดแดงตามปกติ ด้วยความที่เม็ดเลือดแดงของทารกแรกเกิดมีอายุสั้นกว่าเม็ดเลือดแดงของเด็กโตและผู้ใหญ่
ทำให้เกิดการสร้างสารสีเหลืองขึ้นในร่างกายจากการแตกของเม็ดเลือด
นอกจากนี้ในเด็กที่กินนมแม่ก็อาจมีอาการตัวเหลืองได้มากและนานกว่าปกติ
ซึ่งสามารถพบได้ 2 ช่วงครับ
ช่วงแรกอาจพบได้ในช่วง 2-3 วันแรก
อีกช่วงจะเป็นหลังหนึ่งสัปดาห์ไปแล้ว อาการเหลืองจากนมแม่นั้นไม่มีอันตราย
ถึงแม้ว่าอาจจะดูเหลืองมากและเหลืองนาน บางคนเหลืองเป็นเดือนๆ
การดูแลรักษา : สำหรับตัวเหลืองจากนมแม่โดยทั่วไปไม่ต้องให้การรักษาอะไร
ส่วนตัวเหลืองที่เกิดจากสาเหตุอื่น คุณหมอต้องหาสาเหตุและให้การรักษาที่สาเหตุนั้น
อาจร่วมกับการส่องไฟ เพื่อเพิ่มการขับสารเหลืองออกจากร่างกาย
หรือบางรายหากมีอาการรุนแรงอาจต้องร่วมกับการเปลี่ยนถ่ายโลหิต
ซึ่งรายที่มีอาการรุนแรงจนต้องเปลี่ยนถ่ายโลหิตพบได้น้อย
2.หายใจเสียงดัง
คุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกเล็กๆ คงเคยสังเกตว่า
ลูกนอนหายใจเสียงดังเหมือนแมวกรน หรือเหมือนมีเสมหะในลำคอ
สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการพัฒนาของอวัยวะในส่วนทางเดินลมหายใจยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่
เช่น หลอดลม
ซึ่งโดยทั่วไปจะมีกระดูกอ่อนคอยประคองไม่ให้เนื้อของหลอดลมตกลงไปด้านหลังจนขัดขวางทางเดินหายใจ
เมื่อเด็กๆ นอนหงายยังพัฒนาได้ไม่ดี หรือในเด็กเล็กๆ
บางคนเนื้อเยื่ออ่อนที่อยู่ด้านหน้าของทางเดินหายใจยังไม่แข็งแรง ร่วมกับต่อมน้ำเหลืองชนิดหนึ่งชื่อว่า
“ต่อมอะดีนอยด์” ที่อยู่ในบริเวณนั้นตกลงไปขัดขวางทางเดินลมหายใจเวลานอนหงาย
ทำให้เด็กๆ หายใจแล้วมีเสียงดัง
การดูแลรักษา : โดยทั่วไปไม่ต้องให้การรักษาอะไร เพียงแต่คุณพ่อคุณแม่ลองสังเกตว่า
อาการหายใจเสียงดังทำให้รบกวนต่อการได้รับอากาศและออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายหรือไม่
เช่น มีริมฝีปากเขียวคล้ำ เล็บเขียวคล้ำ หรือรบกวนการนอนจนลูกนอนไม่ได้ เพราะเมื่อเด็กๆโตขึ้นกระดูกอ่อน
และเนื้อเยื่อด้านหน้าหลอดลมจะแข็งแรงขึ้น ประกอบกับต่อมอะดีนอยด์ก็มักเล็กลง
หากอายุเกิน 5 เดือนไปแล้วอาการไม่ดีขึ้น ก็ควรพาน้องไปปรึกษาคุณหมอ
3.แหวะนม
อาการแหวะนมหรืออาเจียนในเด็กเล็กเป็นปัญหาของการกินที่พบบ่อย
และมักพบอาการหลังกินนม
สาเหตุของอาการแหวะนมหรืออาเจียนเกิดจากการให้นมที่ไม่ถูกวิธีครับ
ตั้งแต่ท่าการให้นมลูกที่ไม่เหมาะสม ทำให้เด็กดูดลมลงไปพร้อมกับนม พอกินนมเสร็จลมจะถูกดันขึ้นมาอยู่ด้านบน
หากคุณพ่อคุณแม่ไม่ได้ช่วยเคาะหลัง เพื่อไล่ลมออกหลังกินนม
ก็ทำให้มีโอกาสที่ลมจะดันนมย้อนออกมาทางปากได้ง่ายขึ้น
การให้นมลูกในปริมาณมากเกินกว่าที่กระเพาะของเด็กจะรับได้ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งครับ
เพราะหูรูดกระเพาะอาหารของเด็กหลายคนยังไม่ค่อยแข็งแรง และจะพัฒนามากขึ้นเรื่อยๆ
จนทำงานได้ดีขึ้นเมื่ออายุประมาณ 4-5 เดือน
การดูแลรักษา : การให้นมที่ถูกต้องทั้งปริมาณและท่าให้นม จะช่วยลดอาการแหวะนมได้มากครับ
นอกจากนี้การไล่ลมให้ลูกหลังกินนม จัดท่าของลูกให้อยู่ในท่าหัวสูงอย่างน้อย 30
นาที ก่อนให้ลูกนอนลง ก็จะช่วยลดอาการแหวะนมได้ครับ
หากลูกยังมีอาการที่อยู่ๆ อาเจียนพุ่ง
หรือมีอาการอื่นที่บ่งบอกว่าอาจมีอาการติดเชื้อในกระแสโลหิต
(ดูในล้อมกรอบอาการติดเชื้อในเด็กเล็ก) ก็ต้องรีบไปพาน้องไปพบคุณหมอ
4.โคลิก
โคลิกเป็นอาการที่พบได้บ่อยในเด็กเล็กโดยเฉพาะช่วงอายุน้อยกว่า
3
เดือน สาเหตุยังไม่ทราบแน่ชัด
แต่เชื่อว่าน่าจะเป็นจากลำไส้ของเด็กไวต่อการถูกกระตุ้นมากกว่าปกติ
พบได้บ่อยในเด็กที่กินนมผสม เด็กที่กินแม่ก็พบได้แต่น้อยกว่าครับ
เด็กมักแสดงอาการด้วยการร้องเสียงดังจนหน้าดำหน้าแดง มีอาการเกร็งและบิดของแขนและขา
อาการร้องจะเป็นเวลาเดิมของทุกวัน
การดูแลรักษา : หากมีอาการมากจนรบกวนกับชีวิตประจำวัน หรือรบกวนคนอื่นในครอบครัว
คุณพ่อคุณแม่สามารถพาลูกไปหาคุณหมอ
เพื่อให้คุณหมอสั่งยาป้องกันการเกิดโคลิกให้ได้ครับ
แต่อาการโคลิกจะหายไปได้เองเมื่อเด็กโตขึ้น โดยทั่วไปหลังจาก 3-5 เดือนไปแล้ว
5.ถ่ายบ่อย
ในเด็กที่กินนมแม่อาจมีอาการถ่ายบ่อย
เนื่องจากนมแม่มีสารอาหารที่ช่วยในการขับถ่ายครับ เด็กๆ
หลายคนกินนมเสร็จก็ถ่ายทุกที คุณแม่สังเกตได้อย่างนี้ครับ หากถ่ายไม่เป็นน้ำ
ไม่มีมูกเลือด ไม่มีอาการเหม็นเน่า ลักษณะอุจจาระมีกากดี ก้นไม่แดง และเด็กๆ
ก็สดชื่นดี ไม่ต้องกังวล
การดูแลรักษา : หากเป็นการถ่ายบ่อยจากการกินนมแม่ และไม่มีภาวะผิดปกติอื่น
ไม่จำเป็นต้องให้การรักษาครับ
แต่หากมีความผิดปกติคุณหมอจะให้การรักษาที่แตกต่างกันตามสาเหตุ
6.อาการตัวร้อน
อาการตัวร้อนในเด็กเล็กพบได้บ่อยมากครับ
ส่วนใหญ่เกิดจากการห่มผ้าให้กับลูกมากเกินไปเนื่องจากมีกังวลกลัวว่าลูกจะหนาว
บางคนห่มผ้าให้ลูกผืนเดียวก็จริงแต่พับถึง 12 ทบก็เคยเจอนะครับ
โดยทั่วไปเด็กทารกแรกเกิดที่ไม่ต้องอยู่ในตู้อบสามารถควบคุมอุณหภูมิร่างกายได้เหมือนผู้ใหญ่
วิธีดูง่ายๆ คือ หากคุณแม่หนาวคุณลูกก็หนาว หากคุณแม่ร้อนคุณลูกก็ร้อน
พิจารณาง่ายๆ ก็คือห่มผ้าให้ลูกตามที่คุณแม่รู้สึก
การดูแลรักษา : หากไม่มีไข้จากการติดเชื้อหรือความเจ็บป่วยอื่น
การห่มผ้าอย่างเหมาะสมก็จะช่วยให้อาการตัวร้อนลดลงได้ครับ เพียงแต่คุณพ่อคุณแม่ต้องสังเกตอาการร่วมอื่นๆ
ให้ดีนะครับว่า มีอาการอะไรที่ต้องพาลูกไปพบคุณหมอหรือไม่ครับ
7.ผื่นผิวหนัง
ผื่นผิวหนังจำนวนมากในทารกแรกเกิดโดยเฉพาะในช่วง
7
วันแรกมักหายไปได้เองครับ ไม่ว่าจะเป็นผดผื่น สิวของทารก
ตุ่มขาวบริเวณหน้าผาก แก้มและปลายจมูก หรืออาการกลากน้ำนมตามข้างแก้ม
และหนังศีรษะแห้งลอกเป็นแผ่น อาการที่ต้องพาไปพบคุณหมอคือ การพบตุ่มหนอง
ไม่ว่าจะบริเวณใดๆ ของร่างกาย
เพราะตุ่มหนองนี้บ่งบอกถึงอาการติดเชื้อทางผิวหนัง
การดูแลรักษา : รักษาความชุ่มชื้นของผิวหนังด้วยการเลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกายของเด็กๆ
อย่างเหมาะสม ใช้เบบี้ออยล์หยดลงไปในน้ำอาบให้กับลูกสัก 2-3 หยดเวลาอาบน้ำ
หลังอาบน้ำใช้เบบี้โลชั่นทางบางๆ ก็ช่วยได้มากแล้วครับ หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 1
สัปดาห์ หรือลุกลามเร็วมาก ควรพาไปพบคุณหมอ
อาการต่างๆ
ที่เล่ามาล้วนเป็นภาวะอาการที่พบได้บ่อยในคลินิกกุมารเวชกรรม
ซึ่งคุณพ่อคุณแม่มักกังวล ทั้งที่อาการเหล่านี้ส่วนใหญ่หายไปได้เอง
เพียงแต่มีความเข้าใจและรับมือได้อย่างเหมาะสม สิ่งสำคัญคือ
คุณพ่อคุณแม่ต้องคอยสังเกตอาการที่อาจเกิดจากความเจ็บป่วยที่รุนแรงเช่น
การติดเชื้อในกระแสโลหิต หรือการติดเชื้อในเยื่อหุ้มสมองเพื่อให้สามารถพาเด็กๆ
ไปพบคุณหมอและรักษาอย่างทันท่วงทีครับ
การติดเชื้อในเด็กเล็ก
นอกจากอาการของเด็กเล็กที่พบบ่อยๆ
และได้กล่าวไปแล้วนั้น ภาวะสุขภาพที่กุมารแพทย์เป็นห่วง
และต้องมองหาทุกครั้งสำหรับอาการเจ็บป่วยของเด็กเล็ก 3 เดือนแรกนั้น คือการติดเชื้อที่รุนแรง เช่น การติดเชื้อในกระแสโลหิต
หรือการติดเชื้อในเยื่อหุ้มสมอง
การติดเชื้อในกระแสโลหิตสำหรับเด็กเล็กๆ
จะมีอาการได้หลากหลายมากเลยครับ ตั้งแต่อาการเจ็บป่วยทั่วไป เช่น มีไข้สูง ตัวเย็น
ซึมลง ดูดนมน้อยลง ท้องอืด ท้องเสีย อาเจียน สีผิวเปลี่ยนแปลง ตัวลาย
หายใจหอบหรือเร็ว ร้องงอแง
ไปจนถึงอาการที่ดูรุนแรงจากทั้งการติดเชื้อในกระแสโลหิตอย่างเดียว
หรือการติดเชื้อในเยื่อหุ้มสมองร่วมด้วย อย่างอาการชัก หรือหมดสติ
อาการต่างๆ เหล่านี้เป็นอาการที่พบไม่บ่อย
คุณพ่อคุณแม่อย่าได้กังวลแต่เมื่อลูกไม่สบายก็ต้องเฝ้าสังเกตอาการ
และหากพบก็ต้องรีบพาไปพบคุณหมอทันที
โดย: นพ.พงษ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์
หัวหน้าหน่วยพัฒนาการเด็กและวัยรุ่น
วิทยาลัยแพทยศาสตร์กรุงเทพมหานครและวชิรพยาบาล
ที่มา http://www.tinyzone.tv/HealthDetail.aspx?ctpostid=2276
ตอบลบ